เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มี.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม ธรรมมาจากใจนะ ธรรมออกจากธรรมมันเป็นธรรม แต่ถ้าธรรมออกจากใจที่ไม่เป็นธรรมมันก็ไม่เป็นธรรม ความเป็นธรรม เห็นไหม ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหนมันก็ต้องรุนแรง เวลาเราทำความสะอาด สิ่งใดสกปรกเราต้องใช้น้ำมากหน่อย สิ่งใดที่มันไม่สกปรกพอสมควรเราก็ทำความสะอาด ความสะอาดของเราบางชนิดน้ำล้างไม่ได้ ดูสิ การดับเพลิงเขาดับกันด้วยน้ำ ดับเพลิงด้วยโฟม ดับเพลิงด้วยต่างๆ อยู่ที่ชนิดของไฟ

นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา เวลาคนเราบอกว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ธรรมต้องนุ่มนวล ความนุ่มนวลนี่ เห็นไหม หลวงตาท่านเปรียบอย่างนี้ เวลาโค่นต้นไม้มาต้นหนึ่ง ถ้าเรายังไม่ได้เปิดหน้า เราจะเอาไปไสเลยเขาว่าเป็นคนบ้านะ เวลาเราโค่นต้นไม้ต้นหนึ่งเราต้องเปิดก่อน พอไม้มันแบบว่ามันไม่มีตา มันไม่มีปมแล้ว เราถึงจะไสให้ความเรียบของมันได้ อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลามันแรงก็แรงในคุณธรรม แรงในธรรมไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นน้องของพระเจ้าพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพ่อของเทวทัต น้อยใจนะว่าเทวทัตก็เป็นน้อง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการทำไมข่มขี่เฉพาะเทวทัต นี่ทำไมมีความน้อยเนื้อต่ำใจล่ะ เห็นไหม เพราะมันเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม

ความเป็นธรรมนี่เทวทัตก็เป็นลูกพี่ลูกน้อง พระอานนท์ พระนันทะ ก็เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทำไมลูกพี่ลูกน้องบางองค์เป็นพระที่ดีล่ะ ทำไมลูกพี่ลูกน้องบางองค์เป็นพระที่เห็นแก่ตัวล่ะ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นแม่นมเวลามาขอบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามไม่ให้บวช

พระอานนท์ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ผู้หญิงกับผู้ชาย เวลาผู้ชายบวชเป็นพระปฏิบัติได้ ผู้หญิงปฏิบัติได้ไหม ผู้หญิงจะสำเร็จได้ไหม”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สำเร็จได้”

“ถ้าสำเร็จได้ทำไมไม่ให้พระนางปชาบดีโคตรมีบวชเป็นนางภิกษุณี”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบว่า “ถ้าจะให้บวชก็ได้ แต่ต้องขอครุธรรม ๘ ข้อ”

นี่ขอ ๘ ข้อว่าถ้าบวชแล้วต้องอย่างนั้นๆๆ เพราะถ้าบวชมาแล้วนะสายเลือดไง เพราะเป็นแม่นมนะ

ดูสิ นายฉันทะ เวลามาบวชเป็นคนออกมากับม้าที่ออกมาบวชด้วย เวลาบวชเสร็จแล้วนะ “พระพุทธเจ้าเป็นของเรา นี่เพราะเราพาพระพุทธเจ้าออกบวช” มีทิฐิมานะมาก ใครจะมาหานี่ก็บอกว่า “พระพุทธเจ้าเป็นของเรา พระพุทธเจ้าเป็นของเรา” จนสุดท้ายนะสังคมสงฆ์มีปัญหา พอมีปัญหาขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้

“ถ้าเรานิพพานแล้วให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันทะ ให้ลงพรหมทัณฑ์ไม่ให้พูด ให้แยกหมู่ไปเลย เพราะว่าถือทิฐิมานะว่าเป็นอย่างนั้น”

นี่ก็เหมือนกัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีก็เหมือนกัน นี่ถึงบอกว่าต้องถือครุธรรม ๘ ข้อนั้น บวชแล้วภิกษุณี ๑๐๐ ปีก็สอนพระไม่ได้ ภิกษุณีกว่าจะบวชได้ต้องมี ๘ ข้อนี้ก่อน เพราะเหตุใดล่ะ นี่พระพุทธเจ้าก็ให้บวช แต่สิ่งที่ให้บวชมันเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม ความเป็นธรรมขึ้นมา เพราะสิ่งที่เรามองไม่เป็นธรรมมันไม่เป็นธรรมใช่ไหม มันก็มีทิฐิมานะ มันก็มีมุมมองของตัว

แต่ถ้ามุมมองที่เป็นธรรมถ้ามันแรง เวลาแรง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ป้องกันไว้ ขนาดภิกษุณีบวชขึ้นมาพระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนานี่อายุจะสั้นลง เพราะอะไร เพราะนางภิกษุณีเข้ามาบวช พอบวชแล้วเขาก็ได้ประโยชน์ของเขาไป แต่สังคมมันจะกระทบกระเทือนกัน เพราะความคิดความนึกต่างๆ คนมันมากขึ้นมามันก็จะมีปัญหาขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามาศึกษาพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงเรื่องของปัญญา ปัญญานี่เราก็ว่าปัญญาของเรา ปัญญาที่เราคิดกันนี้คือปัญญา ใครมีการศึกษามากขนาดไหนว่าสิ่งนั้นเป็นปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากกิเลสนะ เวลาหลวงตาท่านพูดบอกว่า “ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นแหละอันนั้นคือธรรมแท้”

แต่เวลาพูดออกมา มันเคลื่อนออกมาจากใจ มันเป็นทฤษฏี มันเป็นกิริยาของใจ มันเป็นกิริยาของธรรม แต่กิริยาอันนั้น การศึกษานั้นก็ชี้เข้ามาสู่ใจ แต่เวลาผู้ไปศึกษามันไม่ชี้เข้ามาสู่ใจ มันชี้ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา เป็นความรู้ พอความรู้นี่กิเลสมันบังเงา มันก็เอาสิ่งนั้นมาให้เราส่งออก ส่งออกไปนะว่าจิตจะเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกจะเป็นอย่างนั้น ธรรมะจะเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นอกาลิโก ไม่ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม

ถ้าธรรมะเป็นอย่างนั้นแล้วใจเราเป็นอย่างไร ถ้าธรรมะเป็นอย่างนั้นสติเราเป็นอย่างไร ถ้าธรรมะเป็นอย่างนั้นความรู้สึกเราเป็นอย่างไร ถ้าธรรมะเป็นอย่างนั้น จิตใจธรรมะข้างในทำไมมันเจริญแล้วเสื่อม ถ้าธรรมะของเราทำไมไม่ตั้งอยู่กับเรา ทำไมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปรินิพพาน เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์มันเป็นอกาลิโก แล้วของเราทำไมมันหวั่นไหวล่ะ ทำไมของเรามันเคลือบแคลงล่ะ

นี่ถ้ามันย้อนกลับ ทวนกระแสกลับนี่ เราถึงต้องมีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นขึ้นมาท่านจะทวนกระแส ท่านพยายามจะให้ย้อนกลับเข้าไปดูใจของตัว แต่นี้เวลาเราศึกษาแล้วเราก็มีปัญญาของเรา จะว่าแรง แรงขณะที่จิตใจมันกำลังจะได้เสีย กำลังจะว่าถ้าปฏิบัติไปทางหนึ่งแล้วจะถูกต้อง ถ้ามีความเห็นของตัว ไปตามความคิดของตัวมันก็จะผิดพลาดไป ครูบาอาจารย์ท่านจะแรงจะแรงตรงนี้

นี่เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ มันมีหนักมีเบา เวลาไม่สมควรจะหนักท่านก็ไม่หนักหรอก แต่ถ้าสมควรจะหนักมันต้องหนัก ถ้าไม่หนักมันแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ไง ถ้าไม่หนักใช่ไหมเราก็ว่าสิ่งนี้มันของเล็กน้อย สิ่งนั้นมันของจำเป็น เห็นไหม เราก็บอกว่าอะไรก็เล็กน้อย เล็กน้อยไปหมด แต่ในการปฏิบัตินะหลวงตาท่านบอกว่า “สติสำคัญมาก”

เขื่อนเวลามันจะพังมันพังจากตามด มันพังจากรอยร้าวเล็กน้อย นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร หลวงตาท่านบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร?” หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์โดยที่ไม่เคยพูด หลวงปู่มั่นไม่เคยพูดถึงตัวท่านเลย ไม่เคยพูดว่าท่านเป็นอะไร ไม่เคยพูดเลย แต่หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรม เวลาแสดงธรรมนี่พระภิกษุ เวลาลูกศิษย์ลูกหาประพฤติปฏิบัติไป คนเรามันปฏิบัติตามกันได้ เวลาใครที่มีวุฒิภาวะขึ้นไป ท่านแก้ได้หมด

ท่านพูดอะไร หัวใจเราสูงขนาดไหนท่านก็ชี้นำเราได้ หลวงตาท่านถึงบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอะไร หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ท่านยังเก็บเล็กผสมน้อย เพราะหลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์เรานี่เป็นชีวิตแบบอย่าง ทีนี้ชีวิตแบบอย่างทำสิ่งใดต้องทำเป็นแบบอย่าง เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า “เก็บเล็กผสมน้อย” ท่านจะทำอะไรของท่านในกรอบ ในกติกาตลอด ท่านจะไม่ก้าวล่วงสิ่งใดเลย เพราะอะไร เพราะว่าให้ลูกศิษย์ลูกหามั่นใจ

เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา คนเราอายุ ๘๐ แล้วร่างกายนี่สมบุกสมบั่นมามาก เพราะอยู่ป่ามาตลอด แล้วเป็นวัณโรค เช้าขึ้นมาฉันอาหารไม่ได้หรอก เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงตาท่านบอกว่า ท่านพยายามให้เอาน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่ถ้วย ใส่แก้ว ให้ท่านดื่มก่อนเพล ท่านบอกว่า

“ไม่ได้ ฉันไม่ได้!”

“ฉันไม่ได้เพราะเหตุใด” นี่ดูเวลาเหตุผลนะ

“ไม่ได้ฉันไม่ได้เพราะตัวท่านนะ ฉันไม่ได้เพราะไอ้ตาดำๆ มันมองอยู่”

ไอ้ตาดำๆ คือใคร ไอ้ตาดำๆ ก็คือลูกศิษย์ลูกหาของท่านไง ถ้าลูกศิษย์ลูกหาของท่านบอกว่า “เห็นไหมอาจารย์เราไม่อยู่ในกรอบ อาจารย์เราไม่อยู่ในร่องในรอย” แล้วมันจะเชื่อฟังกันไหม ท่านไม่ได้ห่วงกระเพาะท่าน ท่านไม่ได้ห่วงตัวท่าน ท่านไม่ได้ห่วงสิ่งใดเลย ท่านห่วงไอ้ตาดำๆ ที่มองอยู่ ไอ้ตาดำๆ ที่มันจ้องมองอยู่ แล้วถ้าฉันไปนี่.. หลวงตาท่านบอกว่าท่านก็เสียใจนะ

ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นเทวทัต! ถ้ามันจับผิดครูบาอาจารย์มันก็เป็นเทวทัต แต่ถ้ามันเห็นคุณค่า เห็นไหม นี่เราจะบอกว่าเวลาหนักเวลาเบาเห็นไหม เวลาหนักขึ้นมาท่านก็ต้องหนัก ฉะนั้นเวลาธรรมะมันก็มีหนักมีเบาของเรา เราจะบอกว่า อู้ฮู.. ท่านพูดจานุ่มนวลอ่อนหวานมาตลอด เวลาอ่อนหวานนี่มันก็ควรอ่อนหวาน ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ภิกษุทำศรัทธาไทยให้ตกล่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์

ศรัทธาคือจริตนิสัยที่เขาเชื่อมั่นในศาสนา แล้วเราพูดสิ่งใดให้เขาคลอนแคลน พูดสิ่งใดให้เขาไม่มั่นคงในศาสนาเป็นอาบัติเลย แต่นี้เวลาเราปฏิบัติขึ้นไปแล้วถ้าเรายึดติดอยู่สิ่งใด เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด.. ความรู้สึกของเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แต่ความละเอียดลึกซึ้ง ปัญญาที่พัฒนาขึ้นไปได้ ถ้าเราไม่ปล่อยความรู้สึกอย่างนี้ ความคิดหยาบๆ อย่างนี้มันจะพัฒนาไปสู่ความคิดที่ละเอียดไม่ได้

ฉะนั้นเวลาที่เราจะปล่อยความรู้สึกความนึกคิดอันหยาบๆ ที่เรายึดติดว่าเรารู้จริง เรารู้แน่ เรารู้พร้อม เราเป็นอริยบุคคล เราเป็นคนมั่งมีศรีสุข เราเป็นคนที่มีคุณภาพ นี่มันทิฐิ! ถ้าทิฐิจะเคาะให้ปล่อยมาอย่างไร นี่เวลาลงอย่างนี้ อย่างนี้ทำให้ศรัทธาตกร่วงไหม อย่างนี้ทำให้เขาพัฒนาหรือทำให้เขาตกล่วง ถ้าทำให้เขาตกล่วงมันก็เป็นกรรมของเขา.. เวลากรรมของเขานี่เขาไม่เข้าใจกับเรา เขาไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านจะชี้นำหรือพยายามจะพัฒนาใจของเรา ให้ใจมันพัฒนาเข้าไปสู่หลักความจริงอย่างใด

ถ้ามันจะพัฒนาสู่หลักความจริง เห็นไหม มรรคหยาบ.. ความรู้สึกนึกคิดของเรา มรรคของญาติโยม เลี้ยงชีพชอบ อาชีพชอบ ทำงานชอบ ทุกอย่างชอบ เราก็บอกว่าหน้าที่การงานชอบ

เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่เดินจงกรมชอบ นั่งสมาธิชอบ ตั้งหัวใจไว้ชอบ มีสติระลึกอยู่ วิญญาณาหารเลี้ยงใจชอบ ถ้าเลี้ยงใจชอบ สติปัญญาชอบจะทำให้ร่างกาย ให้จิตใจนี้มั่นคง ถ้ามีปัญญาชอบ ปัญญาอันนี้มันจะเข้าไปชำระล้างกิเลส มันจะไปทำลายทิฐิมานะความเห็นผิดของใจ

เห็นไหม มรรคมันคนละมรรคกันนะ ถ้ามรรคทางโลก สัมมาอาชีวะก็เลี้ยงชีพชอบ พระนี่เลี้ยงหัวใจชอบ ทางโลกเขามีสมบัติของเขาเป็นสมบัติของเขา พระมีศีลมีธรรมในหัวใจเป็นสมบัติ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เป็นสมบัติ เห็นไหม ความสมบัติชอบอันนี้มันจะเข้ามาพิจารณาของมัน มันจะแก้ไขของมัน

นี่เวลาว่ามรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบก็นี่ ถ้าบอกว่าเลี้ยงชีพชอบ ก็ทำมาหากินชอบ อู้ฮู.. นี่บริสุทธิ์ผุดผ่อง อู้ฮู.. คนดี เขาก็ชอบของเขาอยู่อย่างนั้นแหละ ชอบอย่างนี้เป็นชอบในฆราวาสธรรม มันเป็นนิสัยของฆราวาส มันไม่ใช่จริตนิสัยของมรรคญาณ ไม่ใช่จริตนิสัยปัญญาที่ชำระกิเลส ถ้าชำระกิเลสมันก็ระลึกเข้ามา เห็นไหม นี่ไงถึงบอกว่าถ้ามันหนักมันเบานี่ มันหนักมันเบาเพื่อประโยชน์ใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นทางโลกเทวทัตนี่เป็นน้อง เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นน้องชายของพระเจ้าสุทโธทนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตนั่งขวางทางไว้เลย เสียใจว่าทำไมพี่รังแกน้อง แต่เขาไม่คิดหรอกว่าพี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปกครอง ๓ โลกธาตุ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมลงมา เป็นครูของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม ของมนุษย์ ของนาค ของครุฑ ของทุกๆ อย่าง แล้วจะทำให้หลักการในศาสนานี้มันสะอาดบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่เป็นน้องจะเข้ามานี่มีทิฐิ มีความเห็นผิด แล้วจะชักนำให้ศาสนาไปในทางที่ผิด แล้วพี่จะให้น้องได้อย่างใด พี่ก็ต้องสั่งสอน พี่ก็ต้องมีอุบายวิธีการ แต่น้องดื้อ น้องมีความเห็นผิด

นี่พระเจ้าสุปปพุทธะเสียใจว่าพี่ไม่รักน้อง พี่ไม่อภัยให้ แต่พระพุทธเจ้าอภัยให้ทั้งนั้นแหละ แต่เป็นความเห็นของเขาเพราะเขามากั้นไว้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกเลยว่า “อีก ๗ วันธรณีจะสูบสุปปพุทธะ เพราะมาปิดกั้นทางไม่ให้พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต” แล้วพอข่าวนั้นออกไป เขาก็เลยขึ้นไปอยู่ปราสาท ๗ ชั้น สุดท้ายแล้วบอกว่าปิดไว้แล้วให้ทหารที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงมากมาเฝ้าประตูไว้ไม่ให้ลงมา เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าอีก ๗ วันจะธรณีสูบ พยายามหนีไง พยายามหนี

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราพูดคำไหนคำนั้น อีก ๗ วันธรณีจะสูบสุปปพุทธะ” นี่อย่างไรก็หนีอยู่ แต่สุดท้ายแล้วนะม้าศึก ม้าคู่ใจ เวลามันอยู่ในโรงเลี้ยง ถึงเวลา ๗ วันมันดิ้น มันร้อง มันถีบประตู ถีบโรงเลี้ยงของมัน ฉะนั้นด้วยความรักก็เปิดหน้าต่างออกมาจะมาดูม้าของตัว พอโผล่หน้าต่างออกมาธรณีสูบพั๊บ! ไปเลย

ความเห็นของโลกๆ ใช่! เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันทั้งนั้นแหละ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นญาติกันโดยธรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเคยเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันมาไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปไม่มีวันที่สิ้นสุด แล้วการเกิดการตายของเราแต่ละภพแต่ละชาติ เราก็เกิดตายกันมามหาศาล ถ้าว่าชาตินี้เป็นพี่เป็นน้องกันด้วยสายเลือด แล้วเราเกิดตายๆ นี่เราเป็นญาติกันมาโดยสายเลือดชาติใดบ้างล่ะ

ฉะนั้นเราเกิดมาในชาตินี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นญาติกันโดยธรรม” คือเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีปากมีท้องเหมือนกัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรม เราควรจะเอาแต่สิ่งที่ดีให้กัน ฉะนั้นสิ่งใดจะหนักจะเบามันอยู่ที่กาลเทศะ ถ้ามันควรหนักต้องหนัก หนักเพื่อพัฒนาการของจิต หนักเพื่อประโยชน์ของผู้นั้น แต่ถ้ามันจะเบา เวลาเบา เพราะหนึ่งความคิดของเขาคิดไม่ถึง เขาคิดไม่ได้

หลวงปู่มั่นเวลาพระอยู่ในวัดนะ ถ้าคิดไม่ได้ คิดไม่ถึง ท่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้นนะ แต่ถ้าองค์ไหนภาวนาดีท่านจะจี้! จี้! จี้ตลอดเลย.. “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” เพราะพัฒนาการของมัน แต่ถ้าองค์ไหนภาวนาไม่ได้ท่านก็ไม่พูดถึงเลยนะ ไอ้เราก็ว่า “เออ.. องค์นี้ไม่ได้โดนเอ็ดโดนว่าสงสัยจะภาวนาดีเนาะ องค์นี้สุดยอดพระเลย”

แต่ความจริงภาวนาไม่เป็น แต่ถ้าภาวนาเป็นนะท่านจะจี้ตลอด “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” เพื่อประโยชน์ของมัน เพื่อเป็นไปของมัน

นี่เราคิดกันไม่ถึง เรามองไม่เห็นหรอกว่าจิตใจของผู้เป็นธรรม ความรู้สึกนึกคิดมันละเอียดขนาดไหน มันเพื่อประโยชน์โลก เพื่อประโยชน์ธรรม เพื่อประโยชน์กับจิตของเขา เพื่อความพ้นทุกข์ของเขา เอวัง